บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ


บทความชุดนี้ ผมเจตนาตั้งชื่อให้ว่า “ความผิดของนักปริยัติ” ที่จะต้องกล่าวถึงก่อนอื่นก็คือ นักปริยัติคือใคร? มีความคิดความอ่านอย่างไร? ทำไมบุคคลกลุ่มนี้จึงมีความคิดอย่างนั้น

หลักสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธที่รู้จักกันโดยทั่วไป เป็นหลักการกว้างๆ คือ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” หลักการดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจศึกษาศาสนาพุทธต่างก็รู้ความหมายกันดี

ความหมายที่ว่านั้นก็คือ ในการศึกษาศาสนาพุทธนั้น เราต้องศึกษาปริยัติธรรมก่อน  ต่อมาจำเป็นต้องปฏิบัติธรรม  หลังจากนั้นจึงจะได้รับผลของการศึกษาคือ ปฏิเวธ

อย่างไรก็ดี จากหลักการ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ดังกล่าวนั้น ปรากฏว่า พระภิกษุได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ตามลักษณะเด่นของการประพฤติตนคือ กลุ่มที่เป็นนักปริยัติกับกลุ่มที่เป็นนักปฏิบัติ

ถ้าเอาปัจจุบันเป็นตัวอย่างของการอธิบาย พระปริยัติก็คือ พระที่เป็นเปรียญธรรมทั้งหลาย ซึ่งพระพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งในทางการปกครองฝ่ายพระ

จุดสูงสุดของพระเหล่านี้ก็คือ เถรสมาคม และพระทุกรูปในเถรสมาคมต่างก็ต้องการเป็น “สมเด็จพระสังฆราช” กันทั้งนั้น

สำหรับพระปฏิบัตินั้น ก็คือพระที่อยู่ในสายปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ถ้าเป็นสายพุทโธ ก็จะถูกเรียกว่า “พระป่า”  นอกนั้นก็จะมีสายยุบหนอพองหนอ สายนามรูป  สายที่โด่งดังเอามากๆ ก็คือสายวิชาธรรมกาย

สำหรับสายวิชาธรรมกายนั้น ก็จะมีทั้งสายวิชาธรรมกายแท้ และก็มีสายวิชาธรรมกายซึ่ง ธรรมเก ธรรมโกง เช่น วัดพระธรรมกาย ที่ผมชอบที่จะเรียกว่า “วัดไชยบูลย์” เป็นต้น

หลักการ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น ถ้านำมาจัดแบ่งฝ่ายของอุบาสกกับอุบาสิกาก็จะจัดแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
  • กลุ่มพุทธวิชาการ
  • กลุ่มพุทธปฏิบัติธรรม
  • กลุ่มพุทธทั่วไป 

ตรงนี้ขอกล่าวถึง “ภิกษุณี” เล็กน้อย เพราะ ถ้าจะไม่กล่าวถึงเสียเลยก็จะเป็นการสร้างความสับสนให้กับวงการพุทธของคนไทยเข้าไปอีก

เนื่องจากในขณะนี้ กระแสการรณรงค์ให้พุทธเถรวาทยอมรับการมีตัวตนของภิกษุณีประทุขึ้นมาอีก มีอุบาสิกาชาวไทยไปบวชที่ศรีลังกาหรืออินเดียกันมากขึ้น

เรื่องภิกษุณีที่เป็นพุทธเถรวาทนี้  ผมขอยืนยันเลยว่า “ไม่มีโอกาสเกิดในเมืองไทยแน่นอน” และขอบอกก่อนว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องกีดกันทางเพศ อย่างที่พวกที่บ้า “สิทธิมนุษยชน” ชอบลากไปอย่างนั้น

ตามหลักการของพุทธเถรวาทแล้ว และตามหลักการของวิชาธรรมกายแล้ว  ทุกเพศ ทุกวัยสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ทุกคน

แต่ถ้าต้องการเป็น “พระพุทธเจ้า” ซึ่งต้องมาตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยไม่ต้องมีใครมาสอนนั้น ในชาตินั้น ต้องเป็น “เพศชาย” เท่านั้น  อันนี้เป็นหลักการมานับตั้งแต่มีภพ มีนิพพานมา

การจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงในแต่ละชาตินั้น ก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของคนๆ นั้น ไม่ได้มีหลักการอื่นๆ มาบังคับ

ดังนั้น การที่จะอ้างว่า “การไม่อนุญาตให้มีภิกษุณีในเมืองไทยนั้น เป็นการกีดกันทางเพศ” มันเป็นเรื่อง “บ้า” “สิทธิมนุษยชน” จนเกิดไป และไม่ใช่เรื่องในทางศาสนาด้วย

การที่เถรสมาคมไม่ยอมให้มีการบวชภิกษุณีในเมืองไทยนั้น ก็เป็นไปตามเนื้อหาของพระไตรปิฎกที่ว่า “จะต้องมีภิกษุณีอยู่ในคณะภิกษุที่ทำพิธีการบวชด้วย” 

แต่ภิกษุณีในเมืองไทย ไม่มีมานานแล้ว สงสัยว่าไม่มีมาตั้งแต่ต้นด้วย ดังนั้น โอกาสที่จะมีภิกษุณีเถรวาทในเมืองไทยจึงเป็นศูนย์ด้วยประการฉะนี้

กลับเข้ามาที่วัตถุประสงค์ของบทความนี้ที่ว่า “นักปริยัติคือใคร? มีความคิดความอ่านอย่างไร? ทำไมบุคคลกลุ่มนี้จึงมีความคิดอย่างนั้น”

นักปริยัติในความหมายของผมก็คือ พระปริยัติที่เป็นพระเปรียญธรรมทั้งหลาย ถ้าเป็นนักวิชาการ ก็เป็นพุทธวิชาการ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่เรียนศาสนาพุทธแบบนักวิชาการทั่วไป 

นักปริยัติจะไม่ปฏิบัติธรรมตามสายปฏิบัติต่างๆ แต่จะกระทำตัวคล้ายกับนักปรัชญาตะวันตก คือ ศึกษาและตีความตามเนื้อหาของพระไตรปิฎกแต่เพียงอย่างเดียว

ในสถานการณ์ของศาสนาพุทธปัจจุบัน ดูเหมือนว่า “นักปริยัติหรือพุทธวิชาการ” เหล่านี้ คือ พวกที่ธำรงศาสนา รักษาศาสนาพุทธไว้ให้ยั่งยืนสืบไป ชั่วกาลนาน

แต่ในความเห็นของผมเอง ผมว่า “นักปริยัติหรือพุทธวิชาการ” เป็นพวก “ทำลายศาสนาอย่างรุนแรงแบบถอนรากถอนโคน

นักปริยัติจะปฏิเสธคำสอนหลักสำคัญของพระไตรปิฎกว่าไม่เป็นความจริง เช่น นรก-สวรรค์ไม่มีจริง เป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าเพื่อให้คนทำความดี”

การที่บอกว่า “นรก-สวรรค์ไม่มีจริง เป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าเพื่อให้คนทำความดี” พวกนี้เล่นแรงคือ หาว่าพระพุทธเจ้าโกหก ว่าอย่างนั้นเถอะ  ตายแล้วจะไปไหนก็คิดจินตนาการเอาเองได้ 

ในด้านประสบการณ์ส่วนตัว (ห้ามเลียนแบบ) ผมสัมภาษณ์นักปริยัติที่ตายไปแล้วหลายคน  ล้วนแต่ไปอบายภูมิทั้งสิ้น

ถ้าจะถามว่า ทำไมพวกนักปริยัติจึงมีความคิดวิปริตไปอย่างนั้น  คำตอบก็มีอย่างสั้นๆ ว่า “พวกนี้ งมงายในศาสตร์ตะวันตก”.. 



1 ความคิดเห็น: