บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

งมงายกับศาสตร์ตะวันตก


ในบทความ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ผมได้สรุปไปคร่าวๆ ว่า “นักปริยัติหรือพุทธวิชาการ” เป็นพวก “ทำลายศาสนาอย่างรุนแรงแบบถอนรากถอนโคน” เพราะ ความงมงายในศาสตร์ตะวันตก

วันนี้มาต่อกันถึงว่า ศาสตร์ตะวันตกคืออะไร  มันมาอิทธิพลกับนักปริยัติของเถรวาทไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ และส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อรากฐานของศาสนาพุทธจริงหรือ!!

ก่อนที่จะอ่านกันต่อไป  ผมจะชี้ให้เห็นผลเสียของการทำงานของนักปริยัติชาวไทยที่สร้างความฉิบหายวายป่วงไว้เสียก่อนเลย

เอาปัญหาหลักที่รู้กันโดยทั่วไปคือ การคอรัปชั่น หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ลงข่าวไว้มีเนื้อหาพอสรุปได้ ดังนี้

คอรัปชั่นมี 3 ลักษณะ คือ การคอรัปชั่นของบุคคล คอรัปชั่นระดับสถาบัน และคอรัปชั่นในรูประบบ

ในแต่ละปี พ่อค้าและนักธุรกิจกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องสูญเสียเงินให้แก่การคอรัปชั่นเป็นจำนวนสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท

เงินจำนวนนี้ หากไม่ไปตกอยู่ในกระเป๋าของคนเพียงไม่กี่คนย่อมสามารถอำนวยประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้

ไม่ว่าจะเป็นการมีถนนหนทางที่มีคุณภาพเชื่อมโยงชนบทกับเมือง หรือภูมิภาคกับภูมิภาค ระบบคมนาคมและระบบโทรคมนาคมที่ทันสมัย มีโรงพยาบาล โรงเรียน เพิ่มขึ้น ตลอดจนคุณภาพและคุณค่าชีวิตของคนไทย

การมีคอรัปชั่นนั่นก็เพราะ นักการเมืองกับข้าราชการไม่มีศีลธรรม ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป

ดูสังคมนักการเมืองบ้าง มีนักการเมืองที่มีศีลธรรมซักกี่คน ในสภาผู้แทนราษฎร สงสัยเป็นศูนย์  ยิ่งตอนนี้ มีคนเผาบ้านเมืองเข้าไปอยู่ในสภาเป็นจำนวนมาก

นี่คือ ความผิดพลาดของนักปริยัติที่ไปสอนศาสนาพุทธตามแบบของตนเอง คือ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ดันเสือกไปเชื่อวิทยาศาสตร์

ที่กล่าวไปนั้น มีหลักฐานมาจากงานของไพศาล  วิสาโล. (2546) จากหนังสือชื่อพุทธศาสนาไทยในอนาคต : แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต

หน้า 93
การแยกโลกออกจากธรรมอย่างชัดเจนเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลตามมาคือ ธรรมะถูกแยกขาดจากชีวิตประจำวันของผู้คน

การประกอบอาชีพและการทำมาหากินนั้นไม่จำต้องคำนึงถึงธรรมะก็ได้ 

จะเอาเปรียบลูกค้าหรือโกหกฉ้อโกงก็ย่อมได้เพราะถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจ

ต่อเมื่อเข้าวัดถึงค่อยทำบุญ ธรรมถูกกันให้มาซุกอยู่ในบางซอกบางมุมของชีวิต  เช่น เวลาเข้าวัด เวลาอยู่ในห้องพระ หรือในความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเท่านั้น

หน้า 95 96

การพยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าได้กับสังคมสมัยใหม่  ทำให้พุทธธรรมเน้นแต่เรื่องโลกนี้ 

ประโยชน์ที่จะได้รับจากศีลธรรมก็คือ การมีทรัพย์ เกียรติ ยศ มีชีวิตที่เป็นสุข ไม่เดือดร้อนใจ เป็นที่รักใคร่ของมิตรสหาย

ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นนอกเหนือไปจากนั้น ถูกลดความสำคัญจนเลือนหายไป

ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้า ถูกหาว่าเป็นความงมงาย โลกุตตรธรรมหรือนิพพานก็กลายเป็นเรื่องไกลเกินกว่าที่จะสมควรใส่ใจ

ที่เชื่อว่าเป็นเรื่องแต่งเรื่องสมมติก็มีอยู่ไม่น้อย

นี่แหละที่เป็นผลพวงของการสอนศาสนาพุทธที่ไปเชื่อวิทยาศาสตร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ตะวันตก 

ความจริงพุทธวิชาการไม่ได้เชื่อวิทยาศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว ยังเชื่อปรัชญาตะวันตกอีกด้วย

แต่ความงมงายในปรัชญาตะวันตกนั้น อธิบายค่อนข้างยากในบล็อกแบบนี้ จึงขอใช้วิทยาศาสตร์เป็นตัวแทนแต่เพียงอย่างเดียวก็พอจะเห็นภาพพจน์แล้ว

การที่พุทธวิชาการไปเชื่อวิทยาศาสตร์  สังคมไทยถึงเกือบจะเข้าขั้นฉิบหายวายป่วงกันถึงขนาดนี้

ถึงตอนนี้ รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาการขาดแคลนศีลธรรมของสังคมไทยอย่างมืดหน้าตาบอด คือ ไปเอาหลักการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของทางตะวันตกมาใช้

มีการตั้งศูนย์คุณธรรม ตั้งกระทรวงวัฒนธรรม ฯลฯ ผมก็ไม่เห็นว่า มันจะแก้ปัญหาความตกต่ำทางศีลธรรมได้อย่างไร

ในเมื่อพุทธวิชาการก็ยังสอนศาสนาพุทธแบบผิดเพี้ยนให้กับสังคมอยู่

ปัญหาที่หนักหนาสาหัสก็คือ พวกนักปริยัติหรือพุทธวิชาการ “กุมอำนาจ” ด้านวิชาการไว้ในมือ พวกนี้ สอนผิดก็บอกว่า “สอนถูก

พระป่า พระชาวบ้านสอนถูกอยู่แล้ว  พวกนักวิชาการห่าๆ แบบนี้ ก็ว่าสอนผิด

ขอให้สังเกตว่า กลุ่มบุคคลพวกนี้ ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปจากคำสอนดั้งเดิมอย่างน้อยๆ ก็ใน 3 ประการนี้

บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์
บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นปรัชญา
บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นคอมมิวนิสม์

แล้วก็ประกาศว่า ของตัวเองเป็นของแท้  พวกนี้ดัดแปลงศาสนาพุทธให้แปลกปลอมออกไป แต่ดันประกาศออกมาว่า ของเขาของแท้

อย่างนี้ก็มีด้วย

เมื่อศึกษามาถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมสรุปสาเหตุที่ทำให้นักปริยัติ/พุทธวิชาการเข้าใจคำสอนในพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน โดยสาเหตุหลักๆ 3 ประการ ดังนี้

1) เชื่อวิทยาศาสตร์และ/หรือปรัชญาตะวันตกมากกว่าพระไตรปิฎก
2) ขาดความเข้าใจในเรื่องของภาษาศาสตร์
3) ไม่ปฏิบัติธรรมและ/หรือปฏิบัติธรรมอย่างไม่ถูกต้อง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น