ในบทความ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ผมได้สรุปไปคร่าวๆ ว่า “นักปริยัติหรือพุทธวิชาการ” เป็นพวก “ทำลายศาสนาอย่างรุนแรงแบบถอนรากถอนโคน” เพราะ ความงมงายในศาสตร์ตะวันตก
วันนี้มาต่อกันถึงว่า
ศาสตร์ตะวันตกคืออะไร
มันมาอิทธิพลกับนักปริยัติของเถรวาทไทยตั้งแต่เมื่อไหร่
และส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อรากฐานของศาสนาพุทธจริงหรือ!!
ก่อนที่จะอ่านกันต่อไป
ผมจะชี้ให้เห็นผลเสียของการทำงานของนักปริยัติชาวไทยที่สร้างความฉิบหายวายป่วงไว้เสียก่อนเลย
เอาปัญหาหลักที่รู้กันโดยทั่วไปคือ
การคอรัปชั่น หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ลงข่าวไว้มีเนื้อหาพอสรุปได้ ดังนี้
คอรัปชั่นมี 3 ลักษณะ คือ การคอรัปชั่นของบุคคล
คอรัปชั่นระดับสถาบัน และคอรัปชั่นในรูประบบ
ในแต่ละปี พ่อค้าและนักธุรกิจกว่า 80
เปอร์เซ็นต์ต้องสูญเสียเงินให้แก่การคอรัปชั่นเป็นจำนวนสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท
เงินจำนวนนี้
หากไม่ไปตกอยู่ในกระเป๋าของคนเพียงไม่กี่คนย่อมสามารถอำนวยประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้
ไม่ว่าจะเป็นการมีถนนหนทางที่มีคุณภาพเชื่อมโยงชนบทกับเมือง
หรือภูมิภาคกับภูมิภาค ระบบคมนาคมและระบบโทรคมนาคมที่ทันสมัย มีโรงพยาบาล
โรงเรียน เพิ่มขึ้น ตลอดจนคุณภาพและคุณค่าชีวิตของคนไทย
|
การมีคอรัปชั่นนั่นก็เพราะ
นักการเมืองกับข้าราชการไม่มีศีลธรรม ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป
ดูสังคมนักการเมืองบ้าง
มีนักการเมืองที่มีศีลธรรมซักกี่คน ในสภาผู้แทนราษฎร สงสัยเป็นศูนย์ ยิ่งตอนนี้
มีคนเผาบ้านเมืองเข้าไปอยู่ในสภาเป็นจำนวนมาก
นี่คือ
ความผิดพลาดของนักปริยัติที่ไปสอนศาสนาพุทธตามแบบของตนเอง คือ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ดันเสือกไปเชื่อวิทยาศาสตร์
ที่กล่าวไปนั้น
มีหลักฐานมาจากงานของไพศาล วิสาโล. (2546)
จากหนังสือชื่อพุทธศาสนาไทยในอนาคต : แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต
หน้า
93
การแยกโลกออกจากธรรมอย่างชัดเจนเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลตามมาคือ ธรรมะถูกแยกขาดจากชีวิตประจำวันของผู้คน
การประกอบอาชีพและการทำมาหากินนั้นไม่จำต้องคำนึงถึงธรรมะก็ได้
จะเอาเปรียบลูกค้าหรือโกหกฉ้อโกงก็ย่อมได้เพราะถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจ
ต่อเมื่อเข้าวัดถึงค่อยทำบุญ
ธรรมถูกกันให้มาซุกอยู่ในบางซอกบางมุมของชีวิต
เช่น เวลาเข้าวัด เวลาอยู่ในห้องพระ หรือในความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเท่านั้น
หน้า
95 – 96
การพยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าได้กับสังคมสมัยใหม่ ทำให้พุทธธรรมเน้นแต่เรื่องโลกนี้
ประโยชน์ที่จะได้รับจากศีลธรรมก็คือ การมีทรัพย์ เกียรติ ยศ
มีชีวิตที่เป็นสุข ไม่เดือดร้อนใจ เป็นที่รักใคร่ของมิตรสหาย
ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นนอกเหนือไปจากนั้น ถูกลดความสำคัญจนเลือนหายไป
ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้า ถูกหาว่าเป็นความงมงาย โลกุตตรธรรมหรือนิพพานก็กลายเป็นเรื่องไกลเกินกว่าที่จะสมควรใส่ใจ
ที่เชื่อว่าเป็นเรื่องแต่งเรื่องสมมติก็มีอยู่ไม่น้อย
|
นี่แหละที่เป็นผลพวงของการสอนศาสนาพุทธที่ไปเชื่อวิทยาศาสตร์
อันเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ตะวันตก
ความจริงพุทธวิชาการไม่ได้เชื่อวิทยาศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว
ยังเชื่อปรัชญาตะวันตกอีกด้วย
แต่ความงมงายในปรัชญาตะวันตกนั้น
อธิบายค่อนข้างยากในบล็อกแบบนี้ จึงขอใช้วิทยาศาสตร์เป็นตัวแทนแต่เพียงอย่างเดียวก็พอจะเห็นภาพพจน์แล้ว
การที่พุทธวิชาการไปเชื่อวิทยาศาสตร์
สังคมไทยถึงเกือบจะเข้าขั้นฉิบหายวายป่วงกันถึงขนาดนี้
ถึงตอนนี้
รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาการขาดแคลนศีลธรรมของสังคมไทยอย่างมืดหน้าตาบอด คือ
ไปเอาหลักการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของทางตะวันตกมาใช้
มีการตั้งศูนย์คุณธรรม
ตั้งกระทรวงวัฒนธรรม ฯลฯ ผมก็ไม่เห็นว่า
มันจะแก้ปัญหาความตกต่ำทางศีลธรรมได้อย่างไร
ในเมื่อพุทธวิชาการก็ยังสอนศาสนาพุทธแบบผิดเพี้ยนให้กับสังคมอยู่
ปัญหาที่หนักหนาสาหัสก็คือ
พวกนักปริยัติหรือพุทธวิชาการ “กุมอำนาจ”
ด้านวิชาการไว้ในมือ พวกนี้ สอนผิดก็บอกว่า “สอนถูก”
พระป่า
พระชาวบ้านสอนถูกอยู่แล้ว
พวกนักวิชาการห่าๆ แบบนี้ ก็ว่าสอนผิด
ขอให้สังเกตว่า
กลุ่มบุคคลพวกนี้ ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปจากคำสอนดั้งเดิมอย่างน้อยๆ ก็ใน 3
ประการนี้
บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์
บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นปรัชญา
บางกลุ่มทำให้ศาสนาพุทธเป็นคอมมิวนิสม์
|
แล้วก็ประกาศว่า
ของตัวเองเป็นของแท้
พวกนี้ดัดแปลงศาสนาพุทธให้แปลกปลอมออกไป แต่ดันประกาศออกมาว่า ของเขาของแท้
อย่างนี้ก็มีด้วย
เมื่อศึกษามาถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ผมสรุปสาเหตุที่ทำให้นักปริยัติ/พุทธวิชาการเข้าใจคำสอนในพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน
โดยสาเหตุหลักๆ 3 ประการ ดังนี้
1)
เชื่อวิทยาศาสตร์และ/หรือปรัชญาตะวันตกมากกว่าพระไตรปิฎก
2)
ขาดความเข้าใจในเรื่องของภาษาศาสตร์
3)
ไม่ปฏิบัติธรรมและ/หรือปฏิบัติธรรมอย่างไม่ถูกต้อง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น