ในบทความก่อนหน้านี้
ผมได้สรุปไปคร่าวๆ ว่า “นักปริยัติหรือพุทธวิชาการ” เป็นพวก “ทำลายศาสนาอย่างรุนแรงแบบถอนรากถอนโคน” เพราะ ความงมงายในศาสตร์ตะวันตก
และได้สรุปสาเหตุที่ทำให้นักปริยัติ/พุทธวิชาการเข้าใจคำสอนในพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน
โดยสาเหตุหลักๆ 3 ประการ ดังนี้
- เชื่อวิทยาศาสตร์และ/หรือปรัชญาตะวันตกมากกว่าพระไตรปิฎก
- ขาดความเข้าใจในเรื่องของภาษาศาสตร์
- ไม่ปฏิบัติธรรมและ/หรือปฏิบัติธรรมอย่างไม่ถูกต้อง
และได้อธิบายการเชื่อวิทยาศาสตร์กับปรัชญาตะวันตกมากกว่าพระไตรปิฎกไปแล้ว
วันนี้จึงมาถึงหลักฐานสนับสนุนประเด็นที่ว่า ขาดความเข้าใจในเรื่องของภาษาศาสตร์ กันต่อ
ปัญหาเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่สอนผิดเพี้ยนกันไปนั้น
เกิดจากนักปริยัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ได้เปรียญเก้า
ส่วนใหญ่แล้วประชาชนที่มีความเชื่อที่ผิดๆ
ว่า “พระเปรียญเก้า” หรือ “เณรเปรียญเก้า” ต้องมีความรู้ในทางศาสนายอดเยี่ยม
คำสอนต้องถูกต้องไปหมด
ผมขอยืนยันว่า
“ความเชื่อ” ดังกล่าวนั้น ไม่จริง เพราะมีปัจจัยมากมายที่จะทำให้ “พระเปรียญเก้า”
หรือ “เณรเปรียญเก้า” ขาดความรู้ความเข้าใจในทางศาสนา
หลักฐานสำคัญประการหนึ่งก็คือ
ในการเรียนจนถึงเปรียญเก้านั้น ไม่มีการแปลพระไตรปิฎกอยู่ในหลักสูตรเลย
และการเรียนจบเปรียญเก้านั้น
ก็เหมือนกับการเรียนภาษาใดภาษาหนึ่งผ่านหลักสูตร ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า
พระ-เณรเปรียญเก้าจะเก่งเกินมนุษย์
หลักฐานอีกประการหนึ่ง
ที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ การจบเปรียญเก้า ไม่ได้หมายความว่า จะมีองค์ความรู้ในด้านภาษาอย่างถูกต้อง
องค์ความรู้ด้านภาษานั้น
วิชาภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง
สามารถอธิบายภาษาได้ดีกว่าภาษาไทยและภาษาบาลี
การขาดความเข้าใจในด้านภาษาศาสตร์จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักปริยัติ/พุทธวิชาการเข้าใจและสอนศาสนาผิดเพี้ยนไป
ในที่นี้
จะขอยกตัวอย่างเพียง 2 อย่างคือ
2.1 คำไวพจน์
คำไวพจน์ในทางศาสนาพุทธก็คือ
คำที่มีความหมายใกล้เคียงกันและสามารถใช้แทนกันได้
ซึ่งพุทธวิชาการก็ชอบอธิบายไปในทำนองว่า คำไวพจน์นั้น สามารถแทนกันได้ทุกที่
ในทางภาษาศาสตร์นั้น
ไม่มีคำไวพจน์อย่างที่ใช้กันในวงการพุทธวิชาการ การใช้คำที่แทนกันได้นั้น
สามารถใช้แทนกันได้ในบางบริบท (context) ไม่สามารถจะแทนกันได้ทุกที่ทุกบริบท
พูดให้เข้าง่ายๆ
ก็คือ ไม่มีคำ 2 คำที่มีความหมายเหมือนกันทุกประการ ไม่มีคำคู่ใดที่สามารถแทนที่กันได้ทุกบริบท
ขอยกตัวอย่างเป็นนิทานก็แล้วกัน
เพราะน่าจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว
เรื่องก็มีอยู่ว่า
คุณยายท่านหนึ่งพาหลานไปทำบุญด้วย ระหว่างที่พระกำลังสวดอยู่นั้น
ผู้เป็นหลานหิวข้าว ก็งอแงให้คุณยายหาข้าวให้กิน
หนูน้อยคงจะงอแงจนคุณยายโมโหจนถึงขีดสุด
จึงตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า "รอให้พระแดกก่อน
แล้วมึงค่อยฉัน"
คำสอนจากนิทานเรื่องดังกล่าว
ก็น่าจะเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่า คำไวพจน์นั้น ไม่สามารถแทนกันได้ทุกที่
2.2 ความหมาย
เรื่องความหมายนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากในทางภาษาศาสตร์
ขนาดเรียนกันถึงปริญญาเอก แล้วทำวิจัยกันแล้วกันอีกก็ยังไม่จบไม่สิ้น
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า
พระที่ผ่านเปรียญเก้ามาจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้ (หมายความว่าไม่ศึกษาเพิ่มเติมเลย)
พูดกันง่ายๆ
ว่า วิชาที่ศึกษากันเกี่ยวกับความหมาย คือ อรรถศาสตร์ (Semantics) นั้น เป็นวิชาใหม่และค่อนข้างจะเข้าใจยาก ถ้าไม่ลงเรียนโดยตรง
ให้ครูบาอาจารย์ด่าเสียบ้าง ก็มักจะไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้ง
ขนาดว่าวิชาอรรถศาสตร์ใหม่และยากแล้ว
แต่ในทางภาษาศาสตร์มีวิชาที่ใหม่กว่านั้นอีก คือ วิชาวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatics)
วิชาวัจนปฏิบัติศาสตร์เป็นการศึกษาวิธีการใช้ถ้อยความ
(utterance)
เพื่อสื่อความหมายในการสื่อสาร เช่น แบบตรงตัว แบบอุปมาอุปไมย
เป็นต้น
โดยสรุปเพื่อให้สั้นเข้า
ความหมายของประโยคภาษานั้น ไม่ได้เกิดจากเอาความหมายของคำเข้ามารวมกัน ความหมายของประโยคสามารถบอกไปถึงความหมายที่นอกเหนือไปจากนั้น
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจ
ดังนี้
สมมุติว่าท่านกำลังนั่งอยู่ในศูนย์การค้า
อาจจะรอเพื่อนหรือรอแฟนอยู่
ท่านก็เห็นวัยรุ่น 2 ท่านเดินมาพบกันที่ข้างหน้าท่านพอดี
วัยรุ่นท่านหนึ่งใส่ชุดดำ
สมมุติว่าชื่อสมัคร วัยรุ่นอีกท่านหนึ่งแต่งตัวปกติธรรมดา สมมุติว่าชื่อชวลิต
วัยรุ่นทั้ง
2 ท่านนั้น มีบทสนทนาที่ท่านบังเอิญได้ยิน ดังนี้
ชวลิต
: ไอ้หมัก ไปไหนมาวะ
สมัคร
: ไปเผาลุงของเพื่อนกับแม่มาว่ะ
คำพูดเพียง
2 ประโยคดังกล่าวนั้น ให้ความหมายเป็นจำนวนมากแก่ผู้ฟัง
และความหมายนั้นมีมากกว่าความหมายของคำในประโยคที่พูดกันอยู่
ความหมายที่ได้จากประโยคเพียง
2 ประโยคข้างต้น มีอย่างน้อย ดังนี้
- คุณสมัครมีเพื่อนคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
- เพื่อนของคุณสมัครนั้น ไม่พ่อกับแม่จะต้องมีพี่ชายอย่างน้อย 1 คนคือ คนที่ตายและเผาไปแล้ว คำว่า ลุงกำหนดให้รู้ว่า ต้องเป็นพี่และเป็นผู้ชาย
- ครอบครัวของคุณสมัครและเพื่อนนั้น ผู้ปกครองคงจะสนิมสนมกันด้วย และความสนิทสนมเริ่มจากคุณสมัครและเพื่อน ไม่ได้เกิดจากแม่ของคุณสมัคร
โดยปกติแล้ว
ถ้าผู้ปกครองไม่สนิทกันด้วย คุณสมัครก็น่าจะไปพิธีเผาศพคนเดียว และในกรณีนี้
ไม่น่าที่จะเป็นไปว่า ทางแม่ของคุณสมัครกับแม่เพื่อนสนิทกันมาก่อน
กล่าวคือ
แม่กับแม่เป็นเพื่อนกันมาก่อน และลูกกับลูกก็เป็นเพื่อนกันอีก
ถ้าเป็นกรณีอย่างหลังนี้คุณสมัครน่าจะพูดว่า
"ไปเผาพี่ชายของเพื่อนแม่มาว่ะ" หรือ
"ไปเป็นเพื่อนแม่ในงานศพว่ะ"
ทำนองนี้
สำหรับประโยคของการสนทนาประโยคต่อไปนั้น เดาได้เลยว่า
ประโยคต่อไปคุณสมัครก็ต้องถามคุณชวลิตว่า "เอ้า
แล้วแม่มึงไปไหน"
ขอยกตัวอย่างให้ใกล้ตัวอีกนิดหนึ่ง
คือ ข้อความจากอนัตตลักขณสูตร ดังนี้ ในส่วนที่ให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
[๒๒]
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุนั้นแล
[รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ]
อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบันภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด
เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่า
[รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ]
เธอทั้งหลายพึงเห็น [รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ]
นั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา
ผมขอฟังธงด้วยหลักการของทางภาษาศาสตร์เลยว่า
ข้อความที่ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา แสดงว่า ตัวตนของเรามี
แต่ไม่ใช่ขันธ์ 5 [รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ]
ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจขึ้นดังนี้
ตอนที่เป็นนักเรียนอยู่นั้น
ครูมักจะพาไปทัศนาจรตอนที่โรงเรียนปิดเทอมเป็นประจำ ก็เหมารถบัสกันไป
ที่ไปเที่ยวกันนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะโรงเรียนเราโรงเรียนเดียว
โรงเรียนอื่นเขาก็ไปกัน
ครั้งหนึ่งไปเที่ยวบางแสน คนขับก็ปล่อยให้นักเรียนลงไปเที่ยวก่อน
แล้วไปหาที่จอดรถทีหลัง
เมื่อเที่ยวกันพอสมควรแก่เวลาแล้วก็จะกลับ
ผมเดินกลับมาถึงรถแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นรถ เพราะมันร้อน สมัยนั้นยังไม่มีรถปรับอากาศแบบสมัยนี้
ก็เลยนั่งรอเพื่อนๆ อยู่ในบริเวณนั้น
ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้น
ก็เห็นเพื่อนสนิทกัน 2-3 คน เดินไปขึ้นรถคันอื่น แบบหน้าตาเฉย
ผมก็วิ่งไปบอกเพื่อนว่า
"เฮ้ย ไม่ใช่รถเรา"
ในกรณีเช่นนี้
แสดงว่า รถเราต้องมี ถ้าผมกับเพื่อนไปรถโดยสาร
ผมก็ต้องใช้ประโยคอื่นๆ เช่น
รถคันนี้ไม่ใช่รถโดยสาร เป็นต้น
โดยสรุป
จะเห็นได้ว่า
นักปริยัติ/พุทธวิชาการ รวมถึงพุทธปฏิบัติธรรมบางท่าน
บางสายไม่เข้าใจประเด็นเกี่ยวกับความหมาย
พอมีคนตีความแบบผิดๆ ไปว่า "ตัวตนไม่มี"
เพราะเข้ากันได้ดีกับวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า เกิดมาหนเดียว
เมื่อไม่เข้าใจเรื่องความหมาย
เห็นฝรั่งเป็นเทวดา
ก็จำกันมาอย่างนั้นอย่างผิดๆ และ สอนกันไปอย่างผิดๆ
ตรงนี้ขอบอกล่วงหน้าเลยว่า
วิชาธรรมกายสามารถอธิบายได้ว่า ตัวตนของเรานั้นมีแน่นอน
พิสูจน์ได้อย่างเป็นวิชาการ
นอกจากนั้นแล้ว
ตัวตนของเรามีทั้งแบบที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และแบบที่เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา
ซึ่งจะได้นำมาเสนออย่างละเอียดในบันทึกที่เกี่ยวข้องต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น